วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2557

[เที่ยวมาเลเซีย-สิงคโปร์] วันที่5 จากมาเลเซียไปสู่สิงคโปร์ ฉันต้องติดอยู่ที่ ตม.

วันที่ห้าของการเดินทาง
เก็บของออกจากที่พัก วันนี้เริ่มรู้สึกว่า อากาศมันขมุกขมัวชอบกล



ไปที่โบสถ์คริสต์ที่เดิม เมื่อวานยังเดินดูไม่ครบเลย ยังไม่ได้เดินขึ้นเนินไปดูข้างบน




โบสถ์เซนต์พอล



วิวจากข้างบน อากาศขมุกขมัวด้วยหมอกควันอะไรก็ไม่รู้


มีต้นไม้ให้ความร่มรื่น


เดินกลับลงมาข้างล่าง มารอรถเมล์


ป้ายรถเมล์มีข้อมูลเส้นทางเดินรถ ดูมีประโยชน์ดี ถ้าไม่ ลาง เลือน ลอก หลุด ซะขนาดนี้

 

นั่งรถเมล์กลับไป Meleka sentral ไปหาซื้อตั๋วไปสิงคโปร์ ระบบที่นี่ไม่ดีเท่าที่ TBS เลย ที่ซื้อตั๋วแยกเป็นบริษัทๆไป เราต้องเดินดูแต่ละช่อง จะมีป้ายแปะบอกเวลาการเดินทาง หาอันที่เร็วที่สุดสักอันหนึ่ง ซื้อตั๋วมา พร้อมกับได้ใบกรอกรายละเอียดสำหรับผ่านตม.สิงคโปร์



ไปหาอาหารกลางวันกิน ยังไม่ได้ลองอาหารที่เขาแนะนำกันเลย mee goreng กับ rojak รสชาติไม่ถูกใจเลย ชาชักที่ได้ก็ดันเป็นชาร้อนเสียนี่ ผิดเองที่ไม่ได้สั่ง Ice

 

ถึงเวลาก็ไปขึ้นรถ ก่อนขึ้นรถจำลักษณะรถ เลขรถหรือเลขทะเบียนให้ดีๆ เพราะเราต้องขึ้นๆลงๆอีกหลายรอบนะ




เพื่อนร่วมเดินทางของเรา มีคู่ชายหญิงผมสีทองดูมากประสบการณ์อยู่คู่หนึ่ง นอกจากนั้นแล้วก็มีแต่คนหน้าตาเอเซียนี่ล่ะ

ออกเดินทาง จากมะละกาไปสิงคโปร์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง
ระหว่างการนั่งรถบัสในมาเลเซียนี้ เราจะเห็นต้นปาล์มเยอะเลย


 แวะพักเข้าห้องน้ำ


ถึงด่านตม.ขาออกจากมาเลเซีย


 ทางขึ้น เห็นชัดๆเลยว่ายืนชิดซ้าย เดินชิดขวา


ขึ้นไปข้างบนก็ห้ามถ่ายรูปแล้ว
เรารีบมากเลย กลัวตกรถ รีบเดินไปต่อแถวอันยาวเหยียด ไม่นานก็ผ่านออกมาสบายๆ ลงมาชั้นล่าง หารถคันที่เรานั่งมา (บอกแล้วให้จำให้ดีๆ) ขึ้นรถมาเป็นคนแรกๆเลยเรา รอจนคนครบก็ไปต่อ


ออกจากแผ่นดินมาเลเซีย ข้ามทะเลไปสู่สิงคโปร์



มาถึงด่านตม.สิงคโปร์ ลงจากรถ ทุกคนต้องเอาสัมภาระทั้งหมดไปด้วย


(ช่วงนี้ไม่มีรูปนะ)

ผู้คนจำนวนมากมาย ขึ้นไปต่อแถวยาวเหยียด รอจนถึงคิวของฉัน เจ้าหน้าที่เป็นผู้หญิงผิวสีเข้มคนหนึ่ง
คำถามเท่าที่จำได้
เจ้าหน้าที่ : มาสิงค์โปร์ครั้งแรกหรือ
ฉัน : ใช่
เจ้าหน้าที่ : พักที่ไหน
ฉัน : The hive's backpacker hostel
ถามอะไรอีกก็ไม่รู้จำไม่ได้ แล้วก็ดูที่จอคอมอยู่นาน ทำไมไม่ปล่อยฉันไปซักทีฟะ
เจ้าหน้าที่ : มากับใคร
ฉัน : มากับน้องชาย (ชี้ไปทางน้อง)

จากนั้นเธอก็เชิญเราสองคนเข้าไปนั่งในคอกเจ้าหน้าที่ อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกก ฉันทำผิดอะไรเนี่ย เข้าไปนั่งในคอกด้วยความงุนงงงงงวย เธอเรียกคนต่อไปมาสัมภาษณ์ ผ่านไปอย่างง่ายดาย คู่ชายหญิงผมสีทองที่นั่งรถมาคันเดียวกันกับเราก็ต่ออยู่แถวนี้ด้วย แอบเห็นพาสปอร์ตมีรอยประทับมากมาย มองไปรอบๆ คนจำนวนมากดูไม่เหมือนนักท่องเที่ยว แต่ดูเป็นคนท้องถิ่นที่ข้ามไปข้ามมาระหว่างสองประเทศนี้เป็นประจำ ส่วนตัวเราดูเป็นนักท่องเที่ยวมือใหม่ชัดๆ ก็เลยถูกเรียกเข้าคอกเลยใช่ไหมเนี่ย รออยู่นานแสนนาน ที่ใต้เคาน์เตอร์ เจ้าหน้าที่กดปุ่มปุ่มหนึ่งที่น่าจะเป็นปุ่มเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่น นอกจากนี้คุณเธอยังแอบแชททางมือถือ อาจจะแชทเรื่องงานก็เป็นได้ รอไปอีกสักพักก็มีคนมาพาเราไป ไปยังประตูที่ต้องมีรหัสผ่าน ไปยังลิฟท์ที่ต้องมีรหัสผ่านอีก ขึ้นไปข้างบน ไปยังห้องเย็น เขาเรียกห้องเย็นใช่หรือเปล่า

ห้องกว้างๆ มีเคาน์เตอร์เจ้าหน้าที่ ด้านในเป็นสำนักงาน มีประตูเข้าไปห้องด้านใน ด้านหน้ามีที่นั่งรอสิบกว่าที่ มีนักเดินทางคนอื่นอีกสองคน เจ้าหน้าที่เอาพาสปอร์ตฉันกับน้องเข้าไปตรวจสอบ เราสองคนนั่งเครียด สักพักก็มีคนมาเรียกชื่อน้องฉันให้เข้าไปห้องด้านใน ฉันนั่งคิดวุ่นวายใจ ไม่ได้กลัวว่าจะถูกส่งกลับประเทศ คิดแต่ว่าตกรถแน่ๆ จะเดินทางต่อไปยังไง ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้ทำอะไรผิด และถ้าเกิดชื่อหรือหน้าฉันไปคล้ายคนทำผิด ปัญหาก็อยู่ฉันเอง แต่นี่เรียกน้องฉันเข้าไปสอบสวนก่อนฉันอีก ฉันคิดว่านี่เป็นการสุ่มตรวจผู้บริสุทธิ์ธรรมดา ไม่น่ามีปัญหาอะไร น้องฉันเข้าไปแปบเดียวก็ออกมา น้องฉันไม่เก่งภาษาอังกฤษเท่าไร ดูท่าจะเครียดกว่าฉันมากๆ ตาฉันเข้าไปห้องข้างใน

พบกับเจ้าหน้าที่สองคน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง เจ้าหน้าที่ผู้หญิงหน้าคล้ายนัน คนที่เคยไปคัดเลือกเดอะสตาร์บ่อยๆ เขาให้ฉันเอาของในกระเป๋ากางเกงออกมา gapao กระเป๋า? เขาพูดภาษาไทยนี่! ตกใจเล็กน้อย บทสนทนาเท่าที่จำได้ (คุยภาษาไทยปนอังกฤษ)

เจ้าหน้าที่ : พูดภาษาอังกฤษได้ไหม
ฉัน : ได้ แต่ไม่เก่งค่ะ (พูดด้วยเสียงสั่นๆ)
เจ้าหน้าที่ : ใจเย็นๆ ไม่ต้องกลัว
เจ้าหน้าที่ : มาสิงคโปร์ครั้งแรกหรือ
ฉัน : ใช่ค่ะ
เจ้าหน้าที่ : ทำงานแล้วหรือยังเรียนอยู่
ฉัน : ทำงานแล้วแต่ว่าลาออกแล้วค่ะ
เจ้าหน้าที่ : ขอดูไอดีการ์ดหน่อย
ฉัน : (หยิบให้ดู)
เจ้าหน้าที่ : มาเที่ยวกี่วัน
ฉัน : หะ...สี่วันค่ะ (หมดไปวันนึงแล้วยังไม่ได้ไปไหนเลย)
เจ้าหน้าที่ : จะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง
ฉัน : Universal studio, sentosa, china town (ล้วงเอาแผนการท่องเที่ยวขึ้นมาดู)
เจ้าหน้าที่ : พักที่ไหน
ฉัน : The Hive's backpacker hostel
เจ้าหน้าที่ : จะเดินทางไปยังไง
ฉัน : รถไฟฟ้าค่ะ สถานีบุญเกิง...เอ่อ...บุนเค็ง...(Boon Keng)
เจ้าหน้าที่ : อ้อ บุนเค็ง

คุยอะไรอีกไม่รู้จำไม่ได้ แล้วก็ปล่อยเราออกมาหน้าห้อง มานั่งคุยกับน้อง

ฉัน : ผู้หญิงหน้าเหมือนนันเดอะสตาร์เลยนะ
น้อง : คิดเหมือนกันเลย แต่เขาเปลี่ยนเป็นนันเอเอฟแล้วนะ
ฉัน : อ๋อเหรอ
น้อง : ผู้ชายหน้าเหมือนไก่ ภาษิตเลย
ฉัน : ไม่รู้สิ
แล้วก็คุยกันเรื่องที่ถูกถามไป รอไปอีกสักพัก ถูกเรียกไปสัมภาษณ์รอบที่สามกับเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์

เจ้าหน้าที่ : First time at Singapore? (ถามบ่อยจังคำถามเนี้ย)
ฉัน : Yes
เจ้าหน้าที่ : Do you work or study?
ฉัน : I work but I quit. I don't like my job, I quit and travel. (จำแม่นจังคำตอบเนี้ย คือภูมิใจมากที่ลาออกมาเที่ยว)

ถามอะไรอีกนิดหน่อยแล้วก็คืนพาสปอร์ตเรามา ฮูเร่

จากนั้นก็มีคนมาพาเราไปส่งข้างล่าง ไปต่อแถวหยาวเหยียดรอตรวจกระเป๋า รู้สึกโล่งใจที่หลุดมาแล้วแต่ก็กลุ้มใจที่ตกรถ สแกนกระเป๋าเสร็จ ลงมาที่ชั้นลานจอดรถ เดินวนอยู่สองรอบ มองหารถบัสที่เรานั่งมา ใครเขาจะไปรอห้ะ! เดินไปตรงฝั่งที่มีคนยืนอยู่มากมาย รอรถเมล์กัน ต่อแถวกันหลายแถว มีที่กั้นเป็นช่องๆและที่พื้นก็ตีเส้นไว้ มีป้ายบอกไว้ว่าแถวไหนรอรถสายอะไร ไปที่ไหน เราเห็นคำว่า MRT แค่นั้นก็พอ จะสถานีไหนก็ช่างเถอะ



ต่อไปใกล้ๆหัวแถวก็สังเกตเห็นว่า แต่ละคนจะถือกระดาษใบเล็กๆใบหนึ่ง พอขึ้นรถแล้วก็หย่อนใส่กล่อง ตายละวา ต้องซื้อตั๋วก่อนหรือนี่ มองไม่เห็นที่ขายตั๋วเลยนี่นา ทำยังไงดี ระหว่างรอรถเมล์คันต่อไปจะมาหยุดรับ ตัดสินใจถามชายหนุ่มคนข้างหน้าว่าซื้อตั๋วที่ไหน ได้รับคำตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงเอเซียยาวๆรัวๆ ฟังไม่ยากแต่ฟังไม่ทัน ได้ความว่าซื้อที่ไหนก็ไม่รู้ล่ะ แต่มันเป็นตั๋วรายเดือน (คิดไว้ว่าต้องเป็นแบบนี้ก็เลยฟังออกเป็นแบบนี้ล่ะมั้ง) แต่ถ้าไม่มีตั๋วจะจ่ายเงินสดก็ได้เหมือนกัน ค่ารถ 1.80 SGD (ตรงป้ายก็มีราคาบอกอยู่นะ) อ้อ ตกลงจ่ายเงินสดได้สินะ เราแลกแบงค์ย่อยมาอยู่ แต่ไม่มีเศษเซนต์เลย

แล้วรถเมล์ก็มา ปกติแล้วเขาจะขึ้นประตูหน้ากัน แต่เนื่องจากคนเยอะ เพื่อความรวดเร็ว คนจัดคิวก็เลยโบกมือให้คนไปขึ้นประตูกลางด้วย เราก็มาขึ้นประตูกลางได้ที่นั่งค่อนมาทางหลังรถ จากนั้นก็มอง คนขึ้นมาทางประตูหน้า แล้วหย่อนตั๋วหรือเงินลงกล่องข้างคนขับ ฉันก็คิดอยู่ว่า เราต้องลุกไปจ่ายเงินตอนนี้เลยหรือเปล่า หรือจ่ายขาลง คนขับจะมีตังทอนไหม หรือเราต้องจ่ายไปเกิน มัวแต่คิด คนก็ขึ้นมาเต็มคันรถ แล้วรถก็ออกวิ่ง




นั่งรถไปไม่นานก็ถึงสถานีรถไฟฟ้า Kranji ทุกคนลงที่นี่กันหมด พวกเราก็ลง สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้จ่ายค่ารถ รู้สึกผิดมาก :( ไปถึงก็ไปดูแผนที่เส้นทางรถไฟฟ้า ดูครอบคลุมทั่วถึงดี Kranji อยู่สายสีแดง เราต้องไปเปลี่ยนขบวนรถเป็นสายสีม่วงที่ Dhoby Ghaut  ไปอีกสามสถานีก็จะถึง Boon Keng เอาล่ะหาวิธีไปที่พักได้ละ
แผนที่ รถไฟฟ้าสิงคโปร์



ดูแผนที่แล้วก็ไปซื้อตั๋ว เราตัดสินใจซื้อบัตร EZlink เลย จากนั้นก็ไปรอรถไฟที่ชานชาลา





ขึ้นรถไฟ ตู้นี้เป็นตู้ยืนอย่างเดียวเลยไม่มีที่นั่ง มองไปรอบๆ มาอีกประเทศหนึ่งแล้วนะ บรรยากาศเปลี่ยนไป สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป หน้าตาผู้คนเปลี่ยนไป ภาษาเปลี่ยนไป ภาษาราชการของสิงคโปร์มีสี่ภาษาคือ ภาษาอังกฤษ ภาษาจีนแมนดาริน ภาษามาเลย์ และภาษาทมิฬ



มองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ดูท้องถนน สิ่งที่เราเห็นสะดุดตามาเลยคือ เส้นแบ่งเลน ทางม้าลาย และสัญลักษณ์ต่างๆบนพื้นถนน มีความขาวเด่นเห็นชัดเจนมากๆ ส่วนตึกรามบ้านช่องและต้นไม้ก็เหมือนๆบ้านเรา  มองข้างนอกไปเพลินๆก็ถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน มืดเสียแล้ว ดูในรถไฟจะมีไฟบอกว่าถึงสถานีไหนแล้ว อีกไกลน่าดู คิดๆเปลี่ยนแผนการท่องเที่ยว ตอนแรกตั้งใจว่าวันนี้จะไปซื้อตั๋วถูกเข้า USS แล้วพรุ่งนี้ไปสวนสนุก แต่วันนี้มันดึกแล้ว ห้างปิด ก็เลยต้องไปซื้อตั๋ววันพรุ่งนี้ และไปสวนสนุกวันถัดไป (อันที่จริงจะไปซื้อตั๋วหน้าสวนสนุกเลยก็ได้ ทำไมถึงตั้งใจจะไปซื้อผ่านตัวแทนจัง - -")



มองออกไปนอกหน้างต่างอีกที รถไฟวิ่งมาใต้ดินแล้ว ตอนแรกยังลอยฟ้าอยู่เลย

ถึงสถานี Dhoby Ghaut ที่ต้องไปเปลี่ยนขบวนรถ สถานีนี้เป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสามสาย ลงจากรถมา ทางเดินดูวุ่นวายเต็มไปด้วยผู้คนเดินกันขวักไขว่ ป้ายบอกทางชัดเจนดี เดินตามป้ายไปไม่มีหลง




นั่งไปอีกสามสถานีก็ถึงแล้ว Boon Keng
ลงจากรถไฟ แตะบัตรเดินออกมา แต่กว่าจะเดินไปถึงทางออกจริงๆนี่ก็ไกลน่าดูเลยนะ สังเกตเห็นบนพื้นมีทางสีเงินๆ เป็นทางสำหรับผู้พิการทางสายตานั่นเอง


ขึ้นมาข้างบน เดินเลาะข้างสนามหญ้าไป ข้ามถนน ถึงแล้ว The Hive's Backpacker อาคารสีเหลืองสดตัดกับสีดำ อยู่ตรงหัวมุมถนน
(ไม่ได้ถ่ายรูปตอนกลางคืนมา ดูรูปตอนเช้านะ)


เข้าไปเช็คอิน ระหว่างเช็คอินก็มองๆในตู้เย็นเช็คราคาน้ำดื่มที่โฮสเตลขาย เข้าห้องไปเก็บของในล็อกเกอร์ แล้วก็ออกมาหาอะไรกิน ข้างนอกมืดๆ แถวนี้ดูไม่ค่อยมีอะไร เดินไปสักพักก็เจอเซเว่น รอดตายแล้วเรา ถึงท้องจะหิวแต่รู้สึกไม่ค่อยอยากเคี้ยวอะไร กินโจ๊กถ้วยแล้วกัน เช็คดูราคาน้ำดื่ม แพงกว่าที่โฮสเตลแฮะ กลับไปซื้อที่นั่นละกัน ถึงจะถูกกว่าแค่นิดหน่อย แต่หลายนิดก็เยอะนะ ซื้อเสร็จออกมาหามุมนั่งกินแถวๆนั้น



กินเสร็จแล้วก็กลับโฮสเตลไปซื้อน้ำ ตรงเคาน์เตอร์มีแผนที่และแผ่นพับแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแจกฟรี หยิบๆอันที่น่าสนใจมาดู วางแผนสำหรับวันพรุ่งนี้ ดูเสร็จแล้ว เข้าห้องนอน ห้องนี้เป็นห้องสิบเตียง มีคนอยู่แล้วต้องเงียบๆหน่อย ฉันกับน้องได้นอนเตียงชั้นบนทั้งคู่เลย เตียงข้างล่างฉันมีคนนอนอยู่ด้วย ต้องปีนขึ้นเตียงแบบย่องๆ เตียงค่อนข้างสูง รื้อกระเป๋าเตรียมตัวไปอาบน้ำ ห้องน้ำสะอาดใช้ได้ ไม่มีตะขอไว้แขวนของ มีแต่ชั้นวางของที่สูงมากกกก ต้องเขย่งและเอื้อมสุดตัวสำหรับคนตัวเล็กอย่างฉัน อาบน้ำสระผมเสร็จ มีไดร์เป่าผมให้ใช้ด้วย เยี่ยมเลย เข้าห้องปีนขึ้นเตียง คืนนี้ฝนตกด้วยล่ะ ช่วงนี้ที่ไทยฝนตกแทบทุกวัน มาเที่ยวก็กลัวเจอฝนเที่ยวไม่สนุก แต่นี่เพิ่งเจอฝนเอง สบายๆ นอนหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า


จบวันที่ห้าของการเดินทาง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น